กุนซือตัดสินเกม สิ่งที่อยากบอกหลัง ลิเวอร์พูล บุกขย่ม อาร์เซน่อล

ลิเวอร์พูล สิ่งที่ผู้ชมทางบ้านอย่างผมอยากจะบอก หลังจากเห็น ‘หงส์แดง’ อวดอหังการบุกไปอัด อาร์เซน่อล ถึงถิ่นในศึก เอฟเอ คัพ รอบ 3 เมื่อคืน

1. ไม่มี โม ซาล่าห์ ไม่มี วาตารุ เอ็นโด และไม่มี เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ก็ไม่มีปัญหา ถ้าคุณมีกุนซือระดับอ๋องอย่าง เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นผู้จัดการทีม

2. ครึ่งแรก อาร์เซน่อล เหนือกว่าชัดเจน พวกเขาเปิดฉากบดบี้และบุกขย่ม ลิเวอร์พูล อยู่ข้างเดียว แค่ 15 นาทีแรก มีโอกาสทำประตูถึง 6 ครั้ง

แต่เพราะความไม่เด็ดขาดของเกมรุก พวกพรี่ๆ เขาจึงยังเอาตัวรอดมาได้

3. ครึ่งหลัง เจอร์เก้น คล็อปป์ จึงต้องปรับตำแหน่งใหม่ โดยโยก ลุยส์ ดิอาซ จากทางซ้ายมาทางขวาพลางถอย ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ ลงไปเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง

ดาร์วิน นูนเญซ ขยับจาก “หน้าเป้า” ไปเป็น “หน้าซ้าย”แล้วดัน โคดี้ คักโป ขึ้นไปเล่น “หน้าเป้า” ก่อนที่จะส่ง ดิโอโก้ โชต้า ลงมาเป็น “หน้าเป้า” แทน

การสลับตำแหน่งและเปลี่ยนตัวของกุนซือตะโปดเหล็กช่วยให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล วูบวาบ แถมมีมิติกับชีวิตชีวาขึ้นอย่างชัดเจน

4. เกมรุกของ อาร์เซน่อล ไม่มีประสิทธิภาพมาหลายนัดแล้วนะครับ

เกมนี้ยิ่งหนัก

ปีก 2 ข้างลากเลื้อยติดๆ ขัดๆ หน้าเป้าจำเป็นอย่าง ไค ฮาแวร์ตซ์ ก็อืดอาดพอๆ กับยืดยาด ทั้งที่มีโอกาสเผด็จศึกมากมาย

แม้จะครองบอลบุกมากกว่า ทว่าเจาะเกมรับของผู้มาเยือนไม่เข้า ต่อเมื่อมีโอกาสก็โยนทิ้งลงโถส้วม

เพลย์เมคเกอร์อย่าง มาร์ติน โอเดการ์ด สามารถสร้างสรรค์เกมรุกสวยๆ ได้เป็นระยะ สุดท้ายกลับปราศจากตัวจบสกอร์ก็ไม่มีประโยชน์

เกมครึ่งหลังจึงแทบจะพังไปเลย

5. ความแตกต่างอยู่ที่ผู้จัดการทีมนี่แหละครับ

เจอร์เก้น คล็อปป์ เห็นปัญหาแล้วแก้เลย ไม่รอช้า แถมกล้าที่จะเปลี่ยนตัวแบบไม่สะทกสะท้าน

ขณะที่ มิเกล อาร์เตต้า เห็นปัญหาของทีมอยู่ทนโท่ว่าอยู่ตรงไหนกลับไม่กล้าเปลี่ยนแปลงอะไรจนกระทั่งโดนก่อนนั่นแหละค่อยกล้า

ทว่ามันสายเกินไปแล้ว

ขอขอบคุณบทความจาก : ลิเวอร์พูล